พื้นเพ ของ เอียน สตีเวนสัน

ชีวิตส่วนตัวและการศึกษา

สตีเวนสันเกิดในกรุงมอนทรีออลแล้วโตขึ้นในเมืองออตตาวากับพี่น้องอีกสองคน[9]บิดาเขาคือ จอห์น เป็นทนายชาวสก็อตที่ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวในแคนาดาสำหรับทั้งหนังสือพิมพ์อังกฤษเดอะไทมส์ และหนังสือพิมพ์อเมริกันเดอะนิวยอร์กไทมส์[11]มารดาของเขาคือ รุท สนใจในเรื่องเทวญาณและมีหนังสือจำนวนมากในประเด็นนี้ ซึ่งสตีเวนสันเองยกว่า ทำให้สนใจเรื่องเหนือธรรมชาติตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อเป็นเด็ก เขามักนอนป่วยเพราะหลอดลมอักเสบ ซึ่งสืบไปถึงวัยผู้ใหญ่ จึงทำให้เขารักอ่านหนังสือตลอดชีวิต[12]ตามผู้ร่วมงานที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียคือเคลลี เขาเก็บรายการหนังสือที่ได้อ่านรวมเป็น 3,535 เล่มระหว่างปี 1935-2003[1]เขาศึกษาแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์ในประเทศสกอตแลนด์ระหว่างปี 1937-1939 แต่ต้องศึกษาจนจบในแคนาดาเพราะสงครามโลกครั้งที่สอง[13]เขาได้ปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (B.S.c.) จากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ในปี 1942 และแพทยศาสตรบัณฑิตในปี 1943และแต่งงานกับออกทาเวีย เรย์โนลด์สตั้งแต่ปี 1947 จนถึงเธอเสียชีวิตในปี 1983[1]ในปี 1985 เขาแต่งงานใหม่กับ ดร. มาร์กาเรต เพอร์ตซอฟฟ์ (1926-2009) ผู้เป็นศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยหญิงแห่งหนึ่ง (Randolph-Macon Woman's College) ในรัฐเวอร์จิเนียเธอไม่ได้เห็นร่วมกับเขาในเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่อดทนแนวคิดของเขาในรูปแบบที่สตีเวนสันเรียกว่า "ความเงียบอย่างมีเมตตา"[14]

อาชีพต้น ๆ

หลังจากจบการศึกษา สตีเวนสันทำงานวิจัยในสาขาชีวเคมีเขาเป็น "แพทย์ประจำบ้าน" (residency) ที่ รพ. รอยัลวิกตอเรียในกรุงมอนทรีออล (1944-1945) แต่เพราะปัญหาปอดอย่างต่อเนื่อง อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแมคกิลล์จึงแนะนำให้ย้ายไปอยู่ที่รัฐแอริโซนาเพื่อสุขภาพ[12]เขาจึงไปเป็นแพทย์ประจำบ้านที่ รพ. เซนต์โจเซฟในเมืองฟีนิกซ์ (รัฐแอริโซนา) ระหว่างปี 1945-1946ต่อจากนั้น เขาก็ได้ตำแหน่งแพทย์ประจำบ้านต่อยอด (fellowship) ทางอายุรศาสตร์ที่มูลนิธิแพทย์แห่งหนึ่ง (Alton Ochsner Medical Foundation) ในเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ต่อจากนั้น ได้ตำแหน่ง Denis Fellow in Biochemistry ที่มหาวิทยาลัยทูเลนสาขาแพทยศาสตร์ (1946-1947) แล้วจากนั้นตำแหน่ง Commonwealth Fund Fellow in Medicine ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลสาขาแพทยศาสตร์และ รพ. นิวยอร์ก (1947-1949)[1]เขาเปลี่ยนสัญชาติเป็นคนอเมริกันในปี 1949[15]

ผู้ร่วมงานคือเคลลีเขียนว่า สตีเวนสันรู้สึกไม่ชอบใจในคตินิยมลดทอน (reductionism) ที่ได้ประสบในสาขาชีวเคมี จึงต้องการศึกษาบุคคลโดยรวม[1]แล้วกลายมาสนใจเวชศาสตร์กายเหตุจิต (psychosomatic medicine) จิตเวช และจิตวิเคราะห์ โดยในปลายทศวรรษ 1940 เขาได้ทำงานที่ รพ. นิวยอร์กโดยสำรวจโรคกายเหตุจิตและผลของความเครียดโดยเฉพาะว่า ทำไมบางคนตอบสนองเป็นโรคหืด และบางคนเป็นความดันโลหิตสูง[16]

เขาสอนนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตตระหว่างปี 1949-1957 เริ่มจากเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ แล้วก็ศาสตราจารย์ทางจิตเวชในคริสต์ทศวรรษ 1950 เขาได้พบนักเขียนชาวอังกฤษอัลดัส ฮักซลีย์ (1894-1963) ผู้สนับสนุนให้ใช้สารก่ออาการโรคจิต (psychedelic drug) จึงได้ศึกษาผลของแอลเอสดีและ mescaline โดยเป็นนักวิชาการคนแรก ๆ ที่ได้ทำเช่นนี้เขาเขียนว่าได้ลองแอลเอสดีเองจนได้ "ความสงบเงียบอย่างสมบูรณ์" ถึง 3 วันว่าเขารู้สึกในตอนนั้นว่า "จะไม่โกรธต่อไปอีก" แต่พบว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความจำเกี่ยวกับเรื่องนั้นคงยืนว่าเป็นอะไรที่ควรมุ่งหวัง"[1]

เริ่มจากปี 1951 เขาได้ศึกษาจิตวิเคราะห์ที่สถาบันจิตวิเคราะห์นิวออร์ลีนส์และสถานบันจิตวิเคราะห์วอชิงตัน โดยได้ปริญญาจากสถาบันหลังในปี 1958 ปีหนึ่งหลังจากได้ตำแหน่งเป็นหัวหน้าสาขาจิตเวชที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย[1]เขาท้วงหลักความเชื่อในจิตเวชและจิตวิเคราะห์ในสมัยนั้นว่า บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยเด็กได้ง่ายกว่าผลงานตีพิมพ์ของเขาคือ Is the human personality more plastic in infancy and childhood? (จริงหรือที่บุคลิกภาพมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าในวัยทารกและวัยเด็ก) ตีพิมพ์ในวารสารจิตเวชอเมริกัน (ปี 1957)[17] ไม่ได้การยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญเยี่ยงกันเขาเขียนว่า การตอบสนองเช่นนั้นช่วยเตรียมตัวให้เขายอมรับการถูกปฏิเสธที่เขาประสบในผลงานเรื่องเหนือธรรมชาติ[12]

ใกล้เคียง

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอียน สตีเวนสัน http://www.highbeam.com/doc/1G1-72763292.html http://journals.lww.com/jonmd/Citation/1977/09000/... http://journals.lww.com/jonmd/Citation/1977/09000/... http://jas.sagepub.com/content/21/3-4/204 http://www.skepdic.com/stevenson.html http://skepticreport.com/sr/?p=482 http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,1... http://www3.interscience.wiley.com/journal/1192426... http://departments.bloomu.edu/philosophy/pages/con... http://www-personal.umich.edu/~thomason/papers/xen...